วัดทุ่งยาว

ตักบาตรเทโว

ภาพจาก : Golf Photographer / shutterstock.com

ปรกติชาวพุทธจะตักบาตรในตอนเช้าของทุกวัน  แต่ในวันออกพรรษาทำไมจึงตักบาตรในวัดและเรียกการตักบาตรนี้ว่า “ตักบาตรเทโว หรือ เทโวโรหณะ “  จริงๆ แล้วที่มาของประเพณีตักบาตรเทโว  คงต้องเริ่มที่เมืองสังกัสสนครก่อน  เพราะเหตุใด  เพราะเรื่องราวเริ่มขึ้นสมัยปฐมโพธิกาล  ต้นความเดิมมีอยู่ว่า  ในวันเพ็ญเดือนแปด  พระพุทธเจ้าจักทรงทำปาฏิหาริย์ ณ เมืองสาวัตถี  ที่ควงไม้คัณฑามพพฤกษ์ (ควงไม้มะม่วง)  เพื่อข่มและทำลายความเห็นผิดของเหล่าเดียรถีย์  ณ ที่แห่งนี้เป็นสถานที่ทำมหาปาฏิหาริย์ของพระพุทธเจ้า  ปาฏิหาริย์ที่พระองค์ทรงแสดงมีชื่อว่า “ยมกปาฏิหาริย์” (ยะ-มะ-กะ-ปา-ติ-หาน)

ยมก  แปลว่า  คู่หรือสอง  เป็นการแสดงคู่  น้ำคู่กับไฟ  คือมีท่อน้ำใหญ่พุ่งออกจากพระกายเบื้องบนของพระองค์  เปลวไฟพุ่งเป็นลำออกจากพระกายเบื้องล่าง  สลับกันไป  ท่อไฟที่พุ่งออกนั้นมีฉัพพรรณรังสี  คือมี 6 สีสลับกัน  ครั้งเมื่อกระทบกับสายน้ำมีแสงสะท้อนสวยงามมาก
ปาฏิหาริย์  คือการแสดงให้คนเห็นเป็นที่อัศจรรย์  ซึ่งสามัญชนหรือคนที่ไม่เคยเรียนรู้มาก่อนแสดงไม่ได้  หรือแสดงได้ก็เป็นแต่เพียงการเล่นกลธรรมดาเท่านั้น

ในกาลเดียวกันนั้น พระผู้มีพระภาคทรงเสด็จขึ้นสู่ที่จงกรม  (ทรงแบ่งภาคด้วยว่า)  พุทธนิรมิตย่อมยืนหรือนั่งหรือสำเร็จการนอน,  ครั้งพระผู้มีพระภาคทรงประทับยืน  พุทธนิรมิตย่อมจงกรมนั่งหรือสำเร็จการนอน,  เมื่อพระผู้มีพระภาคทรงประทับนั่ง  พุทธนิรมิตย่อมจงกรมยืนหรือสำเร็จการนอน,  พระผู้มีพระภาคทรงสำเร็จสีหไสยาสน์  พุทธนิรมิตย่อมจงกรมยืนหรือนั่ง ฯลฯ  ด้วยประการฉะนี้เป็นต้น

หลังพระองค์แสดงยมกปาฏิหาริย์แก่มหาชนทั้งหลายแล้ว  ทรงรำพึงอยู่ว่าจะจำพรรษาที่ไหนหนอแล  ทรงเห็นว่า  ควรจำพรรษาในภพดาวดึงส์เพื่อโปรดพระมารดา  ซึ่งนับเป็นวาระอันสมควรสำหรับแสดงอภิธรรมหรือก็คือพระธรรมเจ็ดคัมภีร์  แก่พุทธมารดาตลอดทั้ง 3 เดือนเต็ม
มหาชนผู้มาเฝ้าอยู่จำนวนมาก  พอเห็นพระศาสดาลับตาไป  เพียรเฝ้าถามแต่พระเถระทั้งหลายจนได้ความว่า  พระองค์ทรงเสด็จไปจำพรรษาที่บัณฑุกัมพลศิลาเพื่อโปรดพุทธมารดา  หลังครบสามเดือนแล้วจักเสด็จกลับมาในวันมหาปวารณา  มหาชนเหล่านั้นตัดสินใจพากันพำนักอยู่ที่เมืองสังกัสสนคร  จึงเป็นที่มาของการถือศีลอุโบสถ  ครั้งอีก 7 วันครบกำหนดวันมหาปวารณาคือวันออกพรรษา  ต่างฝ่ายต่างตระเตรียมอย่างใจจดใจจ่อเพื่อรอเข้าเฝ้าพระพุทธเจ้า

เมื่อทรงจำพรรษาครบสามเดือนแล้ว  หลังกล่าวคำปวารณาทรงมีพระประสงค์จักเสด็จกลับสู่ถิ่นมนุษย์  ในครั้งนั้นท้าวสักกะเทวราชผู้เป็นใหญ่ในเทวดาทั้งหลายได้จัดขบวนส่งเสด็จพระพุทธเจ้าด้วยการเนรมิตบันไดเป็นที่ลงจากเทวโลกไว้ถึง 3 ชนิด  มีบันไดทองคำ  บันไดแก้วมณี  บันไดเงิน  เชิงบันไดทั้งสามชนิดนั้นปรากฏตั้งอยู่ที่ประตูเมืองสังกัสสนคร  ส่วนหัวบันไดปรากฏตั้งอยู่ที่ยอดเขาสิเนรุ  บรรดาบันไดเหล่านั้น  บันไดทองได้มีในข้างเบื้องขวาเป็นทางลงสำหรับเทวดาทั้งหลาย  บันไดเงินได้มีในข้างเบื้องซ้ายสำหรับเป็นทางลงของท้าวมหาพรหมทั้งหลาย  ส่วนบันไดแก้วมณีได้มีในท่ามกลางเป็นทางเสด็จลงของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า  ก่อนเสด็จลงจากดาวดึงส์พระพุทธองค์ทรงแลดูข้างบนแล้ว  สถานที่ๆ ทรงแลดูแล้วนั้นได้มีเนินเป็นอันเดียวกันจนจรดถึงพรหมโลก  เมื่อทรงแลดูข้างล่าง  สถานที่ๆ ทรงแลดูอยู่นั้นได้มีเนินเป็นอันเดียวกันจนจรดถึงอเวจี  ในวันนั้นโลกทั้งสาม  คือ  สวรรค์  โลกมนุษย์และนรก  กลับปรากฏให้เห็นเฉพาะหน้าทีเดียว  หมู่เทวดามองเห็นหมู่มนุษย์ทั้งหลาย  หมู่มนุษย์ทั้งหลายมองเห็นหมู่เทวดาทั้งหลาย  สัตว์ในนรกกลับมองเห็นหมู่เทวดาทั้งหลายและหมู่มนุษย์ทั้งหลาย  แม้หมู่เทวดาและหมู่มนุษย์ก็สามารถมองเห็นแดนนรกได้ดุจเดียวกัน  ทั้งสามภพมองเห็นซึ่งกันและกันในวันนั้นทีเดียว

พระพุทธเจ้าทรงแสดงปาฏิหาริย์ในวันเปิดโลกให้ปรากฏเห็นพร้อมกัน  เพื่อให้ทุกดวงวิญญาณที่มาจุติบนมนุษย์โลกชื่อในผลของกรรม  บุคคลผู้กระทำความดีสั่งสมความดีย่อมไปสุคติคือโลกสวรรค์  เสวยผลอันเป็นทิพย์ที่ตนได้กระทำมา  ส่วนบุคคลผู้กระทำความชั่วสั่งสมบาปซึ่งเป็นผลของอกุศลกรรมย่อมไปตกนรก  รับโทษทัณฑ์ที่ตนกระทำในนรกภูมิ  ฉะนั้นผู้ที่ถือกำเนิดมาเป็นมนุษย์ได้จึงถือว่าประเสริฐสุด  เพราะสามารถทำความดีทำกุศลได้มากกว่าสิ่งที่มีชีวิตอย่างอื่นบนโลก  ดังนั้นแล้ว  แดนมนุษย์จึงชื่อว่าเป็นสถานที่เป็นเครื่องวัดผลของบุญและผลของบาป  ในวันนี้จึงเป็นเสมือนเครื่องเตือนใจสำหรับมนุษย์ให้ละบาปบำเพ็ญบุญ  ให้มนุษย์รู้จักกลัวในบาป  เพราะกรรมชั่วอันตนกระทำย่อมติดตามตนไปทั้งภพนี้และภพหน้า  พุทธปาฏิหาริย์ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงภพภูมิมีเพียงพระพุทธเจ้าเท่านั้นที่สามารถนำมาให้ปรากฏเห็นได้

ในขณะที่พระพุทธองค์กำลังเสด็จลงจากเทวโลกนั้น  เทพบุตรนำโดยเทพบุตรชื่อปัญจสิขะ  ถือพิณสีเหลืองดุจผลมะตูมทำการบูชาด้วยการฟ้อนอยู่ทางข้างเบื้องขวา  ส่วนมาตลิสังคาหกเทพบุตรยืน ณ ข้างเบื้องซ้ายถือของหอมระเบียบและดอกไม้ทิพย์กระทำนมัสการอยู่  ท้าวมหาพรหมกั้นฉัตร  ท้าวสุยามถือพัดวาลวัชนี  พระศาสดาเสด็จลงมาสู่แดนมนุษย์พร้อมด้วยเทพยดาหมู่ใหญ่เห็นปานนี้  อันว่าสถานที่ๆ พระบาทเบื้องขวาประดิษฐาน ณ ที่ลงเสด็จนั้นมีนามว่าอจลเจติยสถาน  ลำดับนั้นมหาชนเป็นจำนวนมากที่มารออยู่ในเมืองสังกัสสนครต่างชื่นชมยินดีปราโมทย์  ครั้นเมื่อได้เห็นพระพุทธเจ้าซึ่งทรงประทับอยู่ที่ประตูนคร  พุทธศาสนิกชนจึงเรียกวันปวารณาออกพรรษานี้ว่า “เทโวโรหณะ”  แปลว่า  กาลเป็นที่ลงจากเทพเทวดา  หรือหมายถึงวันที่พระพุทธเจ้าเสด็จลงจากสวรรค์ชั้นดาวดึงส์พร้อมด้วยหมู่เทพเทวาทั้งหลายผู้สถิตย์อยู่ทั่วทั้งเทวโลก  ปัจจุบันชาวพุทธมักจะเห็นภาพเขียนตามผนังโบสถ์  วิหารหรือศาลา  นั่นคือภาพที่สื่อเรื่องราวของวันปวารณาออกพรรษาหรือวันเทโวโรหณะ

ยามนั้นมหาชนที่มาเฝ้าได้พร้อมใจกันทำบุญตักบาตรเป็นจำนวนมากสุดจะประมาณ  พิธีที่กระทำกันในการตักบาตรเทโวถ้าถือตามประวัติเท่ากับเป็นการทำบุญรับเสด็จพระพุทธเจ้าในคราวเสด็จลงจากเทวโลกนั่นเอง  บางวัดจึงมีการเตรียมพิธีในงานวันนี้โดยให้คฤหัสถ์แต่งตัวเป็นเทวดาบ้าง  พรหมบ้าง  จากนั้นอัญเชิญพระพุทธรูปขึ้นประดิษฐานบนบุษบกที่มีล้อเลื่อน  นำบาตรตั้งอยู่ข้างหน้าพระพุทธรูปแล้วใช้คนลากนำหน้าขบวนพระสงฆ์อย่างพุทธกาล  ส่วนอาหารที่นำมามีทั้งอาหารคาวหวาน  ข้าวสารอาหารแห้ง  โดยเฉพาะข้าวต้มมัดใต้  ข้าวต้มลูกโยน  ที่ห่อด้วยใบมะพร้าวหรือใบลำเจียกไว้หางยาว  อีกหนึ่งเกร็ดน่ารู้เกี่ยวกับข้าวต้มลูกโยนคือมีมาตั้งแต่ครั้งพุทธกาลแล้ว  เนื่องจากมหาชนบางเหล่าตั้งใจจะเข้าไปใส่บาตร  แต่เพราะมีมหาชนหมู่ใหญ่จำนวนมากจึงได้แต่อธิษฐานแล้วโยนไปให้ลงในบาตรของพระพุทธเจ้า  ทุกวันนี้พอถึงวันออกพรรษาชาวบ้านที่นับถือพุทธศาสนาจะเตรียมห่อข้าวต้มลูกโยนกันมาใส่บาตร  นัยว่าเพื่อเป็นการระลึกถึงวันที่พระพุทธเจ้าทรงเปิดโลกทั้งสาม  ทั้งพระสงฆ์ที่ปฏิบัติมาครบตลอดไตรมาสเมื่ออธิษฐานออกพรรษาแล้วจัดบิณฑบาตเป็นคณะ  ให้ชาวพุทธตักบาตรเทโว  ต่างก็ระลึกถึงพระพุทธเจ้ากัน  เป็นการระลึกถึงว่าโลกนี้มีบุญและบาป  มีกรรมเป็นของตน  มีภพนี้และภพหน้า

ส่วนที่มาของข้าวกระยาทิพย์ที่น่ารู้อีกอย่างก็คือเป็นขนมชนิดหนึ่งที่ไม่ธรรมดา  จะเริ่มทำในวันก่อนออกพรรษา 1 วัน คือวันขึ้น 14 ค่ำ เดือน 11  โดยบางวัดที่มีการทำข้าวกระยาทิพย์จะประกาศให้ชาวบ้านในละแวกวัดนั้นๆ นำวัตถุดิบต่างๆ มา  ขณะที่ทางวัดนำโดยคณะอุบาสกอุบาสิกาจะลงมาตระเตรียมอุปกรณ์วัตถุดิบต่างๆ  อย่างเช่นขั้นตอนการขูดมะพร้าว  ปอกเปลือกผลไม้  มีคั่วถั่ว งา เป็นต้น  นำมาบดหรือนำมาตำ  ละลายน้ำกะทิกรองเอาแต่น้ำ  ในหมู่บ้านที่มีคนมากจะนำวัตถุดิบมีแป้งกับกะทิมามาก  จนได้เวลาประมาณบ่าย 2-3 โมง  ก็ให้นำหญิงพรหมจารีที่คัดเลือกมาจากเด็กหญิงที่ยังไม่มีประจำเดือนมาจำนวน 4 คน (ว่าเป็นตัวแทนของนางสุชาดาผู้นำข้าวมธุปายาสมาถวายพระพุทธเจ้า)    เพื่อนำมาบวชชีพราหมณ์โดยพระสงฆ์เป็นผู้บวชให้  พอบวชเสร็จจะเป็นผู้นำขบวนแห่  เด็กหญิงทั้ง 4 ถือไม้พายกวนข้าวทิพย์และฟืนก่อไฟคนละ 1 ดุ้น  ขบวนผู้หญิงหาบหามน้ำปรุงข้าวทิพย์ 4 ถัง  ขบวนกลองยาวแห่รอบโบสถ์ 3 รอบ  ในขณะที่แห่วนรอบโบสถ์พระสงฆ์สวดมนต์กล่าวคาถา  แล้วค่อยลั่นฆ้องลั่นกลองจนครบสามรอบ  หญิงพรหมจรรย์จะเป็นผู้เริ่มต้นกวนเป็นพิธี  หลังจากนั้นก็ให้กลุ่มแม่บ้านและเยาวชนกวนต่อไป  แล้วนำนางมาลาสิกขาบท  ข้าวทิพย์เป็นสิ่งที่เทวดาเตรียมตักบาตรถวายแด่พระพุทธเจ้าและหมู่สงฆ์ในคราวนั้น  ฉะนั้นกรรมวิธีจึงต้องให้หญิงที่บริสุทธิ์หรือมีศีลเป็นผู้ทำต่างว่าเป็นเหล่าเทวดาอีกด้วย  นับว่าเป็นขนมหายากและปีหนึ่งจะมีทำครั้งเดียว  พอทำเสร็จนำไปถวายพระในวันรุ่งขึ้นซึ่งเป็นเช้าของวันออกพรรษา 15 ค่ำ เดือน 11  แต่ละบ้านจะนำข้าวกระยาทิพย์กลับมาคนละเล็กละน้อยเพื่อความเป็นสิริมงคล

ทั้งหมดนี้คือเรื่องราวของการตักบาตรเทโวของชาวพุทธที่เริ่มต้นมาแต่ครั้งพุทธกาล  คราวนี้คงหมดข้อสงสัยเกี่ยวกับการตักบาตรเทโวและเรื่องราวเกี่ยวกับข้าวต้มมัด  ข้าวต้มลูกโยนและข้าวกระยาทิพย์ซักทีนะ

เรื่องราวที่เกี่ยวข้อง

ลูกนิมิต ลูกเอก

ความสำคัญของลูกนิมิตทั้งเก้านั้นล้วนแต่มีอานิสงส์ด้วยกันทั้งสิ้น ขึ้นอยู่กับผู้มีความตั้งใจจะอธิษฐานจิตอย่างไร ส่วนบารมีของพระอรหันต์แต่ละองค์ก็เป็นสิ่งที่คนธรรมดาจะเข้าถึงได้ยาก แต่ถ้าทุกคนเดินอยู่ในทางอริยมรรคนี้แล้วสิ่งหนึ่งที่ทุกคนควรรู้ก็คือ หากผู้ใดประพฤติปฏิบัติตามธรรมที่สมควรแก่ธรรม ผู้นั้นย่อมถึงซึ่งความปราศจากทุกข์ พบแต่ความสุข ความเจริญและไร้โรคภัยอันตรายทั้งหลายทั้งปวง

Read More »
  • ค้นหา

เรื่องราวยอดนิยม
thไทย