ทิศอุดร หรือทิศเหนือ ตรงกับพระอรหันต์ประจำทิศคือพระโมคคัลลานะ ซึ่งเป็นเอตทัคคะเป็นผู้เลิศกว่าภิกษุทั้งหลายในทางเป็นผู้มีฤทธิ์
พระมหาโมคคัลลานะเป็นบุตรพราหมณ์ผู้เป็นนายบ้านชื่อว่าโกลิตะ มารดาชื่อนางโมคคัลลี แต่เดิมชื่อว่าโกลิต ตามโคตรแห่งบิดา แต่ถูกเรียกชื่อว่าโมคคัลลานะเพราะเป็นบุตรของนางโมคคัลลี ท่านเป็นสหายกับอุปติสสมาณพ(ซึ่งต่อมาคือพระสารีบุตร) มีความรักใคร่กันและตระกูลของทั้งสองนั้นมั่งคั่งสมบูรณ์ด้วยโภคทรัพย์และบริวารเท่าๆ กัน มีความคุ้นเคยสนิทสนมกันมาตั้งแต่บรรพบุรุษ เมื่อโกลิตเจริญวัยขึ้นแล้วก็ได้ไปศึกษาเล่าเรียนศิลปศาสตร์ด้วยกันกับอุปติสสมาณพ แม้จะไปเที่ยวหรือทำธุระอะไรก็มักชักชวนไปด้วยกันอยู่เสมอ จนกระทั่งเข้ามาบวชในพระพุทธศาสนาก็บวชพร้อมกัน ต่างกันแต่ว่าได้ดวงตาเห็นธรรมครั้งแรกไม่พร้อมกัน
หลังจากอุปสมบทแล้วได้เจ็ดวันได้ไปทำความเพียรอยู่ที่บ้านกัลลวาลมุตตคาม แขวงมคธ เกิดความอ่อนใจนั่งโงกง่วงอยู่ พระศาสดาเสด็จไปที่นั่นทรงสั่งสอนและแสดงอุบายสำหรับระงับความง่วงตามลำดับดังนี้
- โมคคัลลานะ เมื่อเธอมีสัญญาอย่างใด เกิดความง่วงขึ้น เธอจงทำในใจถึงสัญญานั้นให้มาก จะละความง่วงนั้นได้
- หากยังละไม่ได้ เธอควรตรึกตรองถึงธรรมที่ได้เรียนมา ได้ฟังมาแล้วด้วยใจของเธอ จะละความง่วงได้
- หากยังละไม่ได้ เธอควรสาธยายธรรมที่ได้ฟังได้เรียนมาให้มากยิ่ง จะละความง่วงได้
- หากยังละไม่ได้ เธอควรยอนหูทั้งสองข้าง และลูบด้วยฝ่ามือจะละความง่วงได้
- หากยังละไม่ได้ เธอควรลุกขึ้นยืน ลูบนัยน์ตาด้วยน้ำ เหลียวดูทิศทั้งหลาย แหงนดูดาว จะละความง่วงได้
- หากยังละไม่ได้ เธอควรทำในใจถึงความสำคัญในแสงสว่าง ตั้งความสำคัญว่ากลางวันไว้ในใจ ให้เหมือนกันทั้งกลางวันและกลางคืน ทำจิตอันมีแสงสว่างให้เกิด จะละความง่วงได้
- หากยังละไม่ได้ เธอควรอธิษฐานจงกรม กำหนดหมายว่าจะเดินกลับไปกลับมา สำรวมอินทรีย์ มีจิตไม่คิดไปภายนอก จะละความง่วงได้
- หากยังละไม่ได้ ให้นอนตะแคงเบื้องขวา มีสติสัมปชัญญะตั้งใจว่าจะลุกขึ้น พอเธอตื่นแล้วควรรีบลุกขึ้น ด้วยตั้งใจว่าจะไม่ประกอบสุขในการนอน จะไม่ประกอบสุขในการเอนหลัง จะไม่ประกอบสุขในการเคลิ้มหลับ
แล้วประทานโอวาทอีก 3 ข้อ
- เราจักไม่ชูงวง คือการถือตัวเข้าไปสู่ตระกูล
- จักไม่พูดคำที่เป็นเหตุให้คนเถียงกัน เข้าใจผิดต่อกัน
- ให้ยินดีด้วยที่นั่งที่นอนอันเงียบสงัด และควรเป็นอยู่ตามลำพังสมณวิสัย
ลำดับนั้นพระมหาโมคคัลลานะได้กราบทูลถามถึงข้อปฏิบัติอันจะน้อมไปในธรรมที่สิ้นตัณหา เกษมจากโยคะคือกิเลสเครื่องประกอบให้จิตติดอยู่ พระศาสดาตรัสตอบแสดงธรรมในเรื่องธาตุกรรมฐานว่า ภิกษุในธรรมวินัยนี้ได้สดับแล้วว่าธรรมทั้งปวงไม่ควรยึดมั่น ในยามเมื่อประสบเวทนาก็ดี เป็นสุขก็ดี เป็นทุกข์ก็ดีหรือไม่สุขไม่ทุกข์ก็ดี ให้พิจารณาด้วยปัญญาอันประกอบด้วยความหน่าย ด้วยความดับและด้วยความไม่ยึดมั่น จิตก็จะพ้นจากอาสวกิเลส เป็นผู้รู้ว่าชาติสิ้นแล้ว พรหมจรรย์อยู่จบแล้ว ท่านได้ปฏิบัติตามโอวาทธรรมที่ทรงตรัสมาก็ได้สำเร็จเป็นพระอรหันต์ในวันนั้น
ครั้นได้สำเร็จเป็นพระอรหันต์แล้ว พระโมคคัลลานะได้เป็นกำลังสำคัญของพระศาสดาช่วยแบ่งเบาภารกิจตามที่พระองค์ดำริต่างๆ ให้ลุล่วงไปด้วยดี เพราะท่านมีฤทธานุภาพมากจึงได้รับการยกย่องจากพระศาสดาให้เป็นอัครสาวกคู่กับพระสารีบุตรว่า พระสารีบุตรเป็นพระอัครสาวกเบื้องขวา เปรียบเสมือนมารดาผู้ให้กำเนิดบุตร พระโมคคัลลานะเป็นอัครสาวกเบื้องซ้าย เปรียบเสมือนนางนมผู้เลี้ยงทารกที่เกิดมาแล้ว พระสารีบุตรย่อมแนะนำให้ตั้งอยู่ในโสดาปัตติผล พระโมคคัลลานะย่อมแนะนำให้ตั้งอยู่ในคุณเบื้องสูงขึ้นไป นอกจากนี้พระมหาโมคคัลลานะยังเป็นผู้มีความสามารถในงานก่อสร้าง พระศาสดาได้ทรงมอบหมายให้ท่านรับหน้าที่เป็นนวกัมมาธิฏฐายี คือผู้ควบคุมดูแลก่อสร้าง ด้วยการสร้างวิหารบุพพารามในเมืองสาวัตถี ซึ่งนางวิสาขาบริจาคทรัพย์สร้างถวาย
พระมหาโมคคัลลานะมีความสามารถในทางอิทธิปาฏิหาริย์ ท่านสามารถแสดงฤทธิ์ไปยังภูมิของสัตว์นรกและไปโลกสวรรค์ชั้นต่างๆ ได้ ทั้งยังนำข่าวสารของสัตว์นรกและของเหล่าเทพบุตรเทพธิดามาแจ้งแก่บรรดาญาติและชนทั้งหลายให้ทราบ เพื่อให้ชนทั้งหลายรู้จักกรรมชั่วอันจะพาตนไปเสวยผลกรรมในนรก หรือการสร้างบุญกุศลอันจะนำตนไปสู่สุคติโลกสวรรค์ พร้อมกันนั้นท่านยังนำพาชนทั้งหลายเหล่านั้นให้รู้จักการทำบุญอุทิศไปให้แก่ญาติมิตรของตนด้วย
เรื่องราวของพระมหาโมคคัลลานะในการไปเยี่ยมชมโลกสวรรค์ต่างๆ นั้นก็มีมาก หรือไปยังนรกภูมิในขุมต่างๆ ก็มีมากเช่นกัน อีกทั้งเกี่ยวกับเรื่องราวที่ท่านได้แสดงอิทธิปาฏิหาริย์ต่างๆ มีมากมายนักในประวัติพระสาวกของท่าน ดังนั้นคงจะนำมากล่าวไว้ทั้งหมดในคราวเดียวไม่ได้ แต่ครั้งในสมัยท่านเรื่องราวของพระโมคคัลลานะเป็นที่ประจักษ์แจ้งแก่ใจของผู้คนในยุคพุทธกาลยิ่งนัก มหาชนเหล่านั้นจึงบังเกิดความเลื่อมใสท่านเป็นอย่างมาก
วันเวลาผ่านไปตามลำดับเข้าสู่ปัจฉิมโพธิกาล ขณะที่ท่านพักอยู่ ณ ตำบลกาฬศิลา แคว้นมคธ พวกเดียรถีย์ปรึกษากันว่าบรรดาลาภสักการะทั้งหลายที่เกิดขึ้นแก่พระพุทธเจ้าก็เพราะอาศัยพระโมคคัลลานะเป็นสำคัญ เป็นผู้มีความสามารถไปนำข่าวในสวรรค์และนรกมาแจ้งแก่บรรดามนุษย์ทั้งหลาย ถ้าหากพวกเรากำจัดท่านไปได้เสียแล้ว ลัทธิของพวกเราก็จะเจริญรุ่งเรืองขึ้น เมื่อปรึกษากันดังนี้แล้วได้จ้างวานโจรผู้ร้ายกลุ่มหนึ่งให้ลอบฆ่าพระโมคคัลลานะ เมื่อโจรมา ท่านทราบเหตุนั้นจึงหนีไปเสียสองครั้ง พอครั้งที่สามท่านพิจารณาเห็นว่านี้เป็นผลกรรมในอดีตชาติ แม้ชาตินี้จะเป็นชาติสุดท้ายของทางสิ้นสุดกรรมและถึงท่านจะสำเร็จเป็นพระอรหันต์มีฤทธิ์สามารถจะดำดินล่องหนหายตัวได้ เหาะเหินเดินอากาศได้ แต่คงไม่อาจหลีกหนีผลกรรมที่ติดตามมา ท่านจึงยอมให้พวกโจรทุบตีจนร่างกายแหลกเหลว พวกโจรมีความสำคัญว่าตายแล้วจึงนำร่างท่านไปซ่อนไว้ในพุ่มไม้แห่งหนึ่งแล้วพากันหนีไป พระโมคคัลลานะเยียวยาอัตภาพไว้ด้วยกำลังฌานแล้วไปเข้าเฝ้าพระพุทธเจ้า แล้วทูลลากลับมาปรินิพพาน ณ ที่เกิดเหตุ ในวันแรม 15 ค่ำ เดือน 12 หลังพระสารีบุตรนิพพานได้ 15 วัน
ใครอยากมีฤทธิ์เดชอำนาจบารมี ป้องกันภัยอันตรายทั้งปวง ก็จงบูชาพระโมคคัลลานะ ในทางโหราศาสตร์ทิศอุดรตรงกับนพเคราะห์คือพระศุกร์ ผู้ใดอยากให้มีกิจการค้ารุ่งเรือง ซื้อง่ายขายคล่อง มีความสุขสบายในครอบครัวก็ควรบูชาพระศุกร์ ตามคติทางพระพุทธศาสนาได้จัดให้พระพุทธรูปยืนปางรำพึงเป็นพระประจำวันศุกร์ และได้จัดคาถาบทขัดธชัคคสูตรเป็นบทสวดโดยสวด 21 จบ เพื่อช่วยคุ้มกันภัยอันตรายใดๆ และยังจัดพระคาถาอิติปิโส 8 ทิศ บทตวาดฟ้าป่าหิมพานต์เป็นคาถาประจำวันศุกร์คือ วา โช โน อะ มะ มะ วา