วัดทุ่งยาว

คนธรรพ์

ภาพจาก : Anandajoti Bhikkhu / flicker.com

มีผู้อ่านถามมาว่า  มีใครรู้จักคนธรรพ์บ้างไหม  จริงๆ ก็คงไม่มีใครรู้จักประวัติคนธรรพ์มากเท่าไร  เพราะตามตำนานแล้วชาวไทยเรารู้จักคนธรรพ์จากท้องนิทานพื้นบ้านหรือเรื่องเล่าในชาดก  แต่ในสมัยนี้ก็คงไม่มีใครรู้จักประวัติของคนธรรพ์  จะมีก็แต่ผู้ที่ร่ำเรียนนาฏศิลป์ไทยที่รู้จักความเป็นมา  เพราะเหตุใดหรือ  คงต้องเริ่มจากประวัติความเป็นมาก่อน  ตามประวัติคนธรรพ์เป็นชาวสวรรค์จำพวกหนึ่งหรือเรียกอย่างไทยเราว่าภูตก็ได้  ในคติฮินดูว่ากันว่าคนธรรพ์ถือกำเนิดจากพระพรหม  แต่บางตำนานก็ว่าเป็นโอรสพระกัตยปฤษี  โดยปกติคนธรรพ์จะมีบ้านเมืองเป็นของตนเองอยู่ระหว่างสวรรค์และโลกมนุษย์  ถึงแม้ว่าคนธรรพ์จะมิใช่เทพบุตรรูปงามแต่มีนิสัยเจ้าชู้  มีเสน่ห์มักทำให้ผู้หญิงหลงรัก  สำหรับหน้าที่ส่วนใหญ่ของคนธรรพ์นั้นจะเป็นผู้คอยดูแลโสม  ครั้งเมื่อโสมเหล่านี้เจริญเติบโตเต็มที่จะนำมาปรุงเป็นยาวิเศษต่างๆ  รวมไปถึงเป็นผู้ปรุงน้ำโสมให้แก่เหล่าเทวดาอารักษ์ทั้งหลาย  รวมทั้งองค์อมรินทร์ผู้เป็นใหญ่แห่งแดนสวรรค์นี้ด้วยให้ได้เสวยกัน  ส่วนหน้าที่อีกอย่างหนึ่งที่โดดเด่นของเหล่าคนธรรพ์นั่นก็คือความชำนาญทางการขับร้องและเล่นดนตรี  เรียกได้ว่าความสามารถแขนงวิชาการดนตรีกับทั้งนาฏศิลป์ทั้งปวงชื่อว่าเป็นเลิศทั่วปฐพีทีเดียว  ถึงกับขนานนามว่าคนธรรพวิทยา  แต่การบรรเลงดนตรีของคนธรรพ์นั้นออกจะแปลกอยู่สักหน่อย  เนื่องจากว่าเป็นเสียงเพลงเพื่อพุทธบูชา  คือเมื่อได้ฟังแล้วมิใช่ทำให้ผู้ฟังลุ่มหลงงงงวย  แต่เป็นการขับกล่อมให้มีสติเตือนใจให้ระลึกได้  หรือกำหนดใจของผู้ฟังได้  เพราะว่าถ้าเสียงแห่งดนตรีที่เป็นไปเพื่อความสนุกสนานเฮฮา  ทำให้หลงลืมสติมัวเมาอยู่ในกามคุณ  เสียงดนตรีที่ว่ามานี้จะทำให้ไปบังเกิดในนรกที่ชื่อว่าปหาสะ  ในคราวมีเทวสันนิบาตของเหล่าเทวดาหรือเมื่อมีงานประชุมของเหล่าเทวาครั้งใด  คนธรรพ์ทั้งหลายจะไปร่วมประโคมดนตรีทุกครั้งไป  ว่ากันว่าเสียงแห่งการประโคมดนตรีของแดนสวรรค์นั้นเป็นเสมือนเครื่องบอก  เช่นเมื่อผู้มีบุญญาธิการลงมาจุติยังแดนมนุษย์เสียงเหล่านี้จะบรรเลงขึ้น  หรือเมื่อผู้มีบุญญาธิการบังเกิดสู่แดนสวรรค์เสียงเหล่านี้จะบรรเลงบ่งบอกถึงความยินดีปราโมทย์

ในคัมภีร์พุทธเราได้แบ่งเหล่าคนธรรพ์ไว้เป็น 3 ระดับด้วยกัน  คือคนธรรพ์ชั้นสูงจะมีวิมานอยู่ในสวรรค์ชั้นจาตุมหาราชิกา  อย่างเช่นปัญจสิงขรเทวบุตร  จัดเป็นเทวบุตรมีรูปร่างกายาเป็นทิพย์  เป็นผู้ประโคมดนตรีอัญเชิญพระพุทธองค์ครั้งเสด็จลงสู่เทวโลก  นอกจากจะมีวิมานอยู่บนสวรรค์ด้วยแล้ว  ท่านยังมีเทพธิดาประจำอยู่ในวิมานนั้นด้วย  ส่วนคนธรรพ์ชั้นกลางสถิตอยู่ในป่าหิมพานต์  ซึ่งในป่านี้จะเป็นที่อยู่อาศัยของสัตว์เทพแปลกๆ มากมาย  ซึ่งโดยมากจะอาศัยรวมกันอยู่เป็นกลุ่ม  สรุปได้ว่าเป็นสถานที่ประหลาดแห่งหนึ่ง  แต่จัดเป็นที่พิเศษเพราะส่วนมากผู้ที่อาศัยอยู่ในนั้นจะมีของวิเศษหรือสิ่งพิเศษเฉพาะตน  คนธรรพ์ที่สถิตอยู่ในป่าหิมพานต์แห่งนี้จะมีวิมานอยู่ในต้นไม้และเป็นบริวารของคนธรรพ์ชั้นสูงอีกทีหนึ่ง  สำหรับคนธรรพ์ชั้นสุดท้ายหรือชั้นล่างสุดจะสิงสถิตอยู่ในต้นไม้บนพื้นมนุษย์โลก  อย่างเช่นอยู่ในต้นตะเคียน  ต้นตานี  เป็นต้น  แต่คนธรรพ์เหล่านี้มิใช่นางไม้หรอกนะ  หากเพราะการสร้างกุศลที่ไม่เท่ากันการสถิตที่อยู่จึงแตกต่างกันไป

เหล่าคนธรรพ์มีผู้ปกครองคือท้าวธตรัฐ  ซึ่งเป็นหนึ่งในท้าวจตุโลกบาลทั้งสี่  ประจำอยู่ทางทิศตะวันออกของเขาสุเมรุ  ถ้าจะกล่าวถึงท้าวจตุโลกบาลคงต้องเริ่มจากการนับถือพุทธศาสนาซึ่งได้แพร่หลายเข้ามาทั่วทวีปทางแถบเอเชีย  ทั้งจีน  ไทย  พม่า  ลาว  เวียดนาม  ญี่ปุ่น  ทิเบต  ฯลฯ  และอินเดียซึ่งเป็นต้นกำเนิดแห่งพุทธศาสนานั้นด้วย  แม้ชาวเมืองส่วนใหญ่จะนับถือฮินดู  แต่ประวัติศาสตร์ด้านวรรณคดีของชาวอินเดียก็ยังคงไว้มิได้ทำลายลงเสียหมด  ฉะนั้นชาวเอเชียที่นับถือพุทธศาสนาจึงรู้จักท้าวจตุโลกบาลเป็นอย่างดีตามนัยคัมภีร์พุทธศาสนา  บางแห่งนำมาปั้นเป็นรูปปั้นสวมชุดทรงต่างกันไปเพื่อให้สอดคล้องกับภูมิประเทศของแต่ละประเทศ  ประกอบกับชาวเมืองที่นับถือจะพากันมาทำการสักการะบูชาในฐานะเทพผู้คุ้มครองโลก  และมีชื่อเรียกขานตามภาษาของชนชาตินั้นๆ  ท้าวธตรัฐนั้นแปลว่าผู้รั้งเมือง  หรือตามภาษาไทยว่างำเมือง  มีรูปกาย 2 คาวุต  มี 2 กร  ขวามือถือพระขรรค์  หรือบางตำราว่ามือซ้ายถือกลองเล็ก  มีรัศมีรอบพระเศียร  ทรงช้างเป็นพาหนะ  แต่อีกตำนานหนึ่งของจีนว่าท่านมีผิวกายเขียว  มือถือเครื่องดนตรีชนิดหนึ่งคล้ายพิณ 4 สาย  ตำนานจีนเรียกเครื่องดนตรีชนิดนี้ว่าผีผา  แต่บางแห่งก็ว่ามือซ้ายถือพิณ  มือขวาดีดพิณ  และเมื่อยามใดที่มีงานมงคลท่านจะเล่นเพลงแห่งความสุขขับกล่อมปวงประชา  แต่หากยามใดที่เกิดสิ่งไม่ดีเข้ามารบกวนเสียงดนตรีอันไพเราะนั้นจะกลับกลายเป็นลูกไฟมหึมาจำนวนมากตกลงมาจากท้องฟ้าทำลายสิ่งนั้นให้เป็นจุณ  ตามคติของชาวจีนที่นับถือพุทธได้กล่าวไว้ว่าท้าวธตรัฐนี้มีเทพองครักษ์อยู่ 2 ตนด้วยกัน  คือผีบ้าตนหนึ่งกับยมทูตตัวเขียวตนหนึ่ง  ในตำนานส่วนใหญ่ของนานาประเทศทางแถบเอเชียยังกล่าวไว้อีกว่า  ท้าวธตรัฐนั้นเป็นเทพแห่งการบันดาลฟ้าผ่าหรือเป็นประหนึ่งเจ้าแห่งการควบคุมภูมิอากาศ  แม้แต่ชาวไทยก็นิยมขอพรเรื่องฝนฟ้าอากาศกับท่าน  และถึงแม้เหล่าคนธรรพ์จะมีท้าวธตรัฐเป็นบดีแล้วก็ตาม  แต่คนธรรพ์ก็ยังมีหัวหน้าอีกทีหนึ่งเรียกกันว่าพระประคนธรรพ์  หรือพระประโคนธรรพ์

เรื่องราวของพระประคนธรรพ์นั้นน่าสนใจอยู่มาก  เหตุว่าในวงการดนตรีไทยยกย่องพระประคนธรรพ์ว่าเป็นครูตะโพนและตะโพนทุกๆ ในถือเป็นตัวแทนของท่าน  จัดให้พระประคนธรรพ์นั้นเป็นประธานควบคุมการบรรเลงเพลงสาธุการ  สืบเนื่องจากเรื่องราวในพุทธประวัติคือเรื่องท้าวพกาพรหม  ครั้งนั้นเมื่อท้าวเธอยอมจำนนต่อพระพุทธองค์แล้ว  ได้ทูลอัญชลีอัญเชิญให้เสด็จลงจากมุ่นมวยผมอยู่หลายครั้ง  พระพุทธองค์ยังทรงนิ่งเฉย  กระทั่งเมื่อเหล่าคนธรรพ์พากันประโคนบรรเลงเพลงสาธุการขึ้นจึงทรงเสด็จลงมาปรากฏองค์  ดังนั้นแล้วเพลงสาธุการจึงกลายเป็นเพลงที่ใช้ประโคมบรรเลงในยามพิธีเพื่ออัญเชิญพระพุทธเจ้าโดยเฉพาะ  ตะโพนจึงถือว่าเป็นเครื่องดนตรีชิ้นแรกที่บรรเลงเพลงสาธุการ  นักดนตรีไทยให้ความสำคัญและนับถือให้เป็นเครื่องดนตรีศักดิ์สิทธิ์  จึงไม่ต้องแปลกใจว่าชาวนาฏศิลป์ให้ความเคารพบูชาพระประคนธรรพ์กันเพราะเหตุใด  ส่วนการกำเนิดของพระประคนธรรพ์นั้นตำนานเล่าว่า  ท่านมีกำเนิดมาจากพระนลาฏ(หน้าผาก)ของพระพรหมผู้สร้างโลก  พระพรหมท่านสร้างพระประคนธรรพ์ให้จุติเป็นคนธรรพ์  ต่อมาได้กลายมาเป็นเทวฤาษีมีนามว่าพระนารทมุนี  เป็นเทวดาที่บำเพ็ญตนเป็นฤาษี  ทำให้เหล่าคนธรรพ์ทั้งหลายให้ความเคารพยำเกรงพระประคนธรรพ์เป็นจำนวนมาก  ท่านยังมีอิทธิฤทธิ์วิเศษสามารถบันดาลฝนเทียมได้  ฝนนั้นมีชื่อว่าหยาดพิรุณ  มนุษย์โลกต่างเรียกขานเรื่อยมาจนเพี้ยนนามไปว่าพระนารอดหรือฤาษีนารอด  เหตุเพราะท่านชำนาญในการปรุงยาสมุนไพร  นำยาเหล่านั้นมาช่วยมนุษย์ให้พ้นจากโรคภัย  ว่ากันว่ายาแต่ละขนานนั้นสามารถรักษาโรคได้สารพัด  จวบจนปัจจุบันชาวไทยกลับรู้จักคนธรรพ์ผ่านทางนาฏศิลป์ไทยเป็นส่วนใหญ่  เพราะเมื่อมีการทำพิธีบูชาสักการะผู้คนที่ไปร่วมงานจะถามว่าทำอะไรกันนะ  ชนชาวนาฏศิลป์จะตอบเพียงสั้นๆ ว่าไหว้ครู

ธรรมด้วยใจที่เป็นกุศล  รวมทั้งได้ทำบุญในวันบูรพาจารย์เป็นที่เรียบร้อยอีกวาระหนึ่ง  นับเป็นสิ่งที่น่าชื่นชมและน่าอนุโมทนาสาธุการเป็นอย่างยิ่งกับทุกๆ ท่านด้วย  ขึ้นชื่อว่าการบูชาตามพุทธศาสนามี 2 อย่าง  คือ  1.  อามิสบูชา  มีการบูชาด้วยสักการะ  เช่นดอกไม้หรือปัจจัยสี่  เป็นต้น  2.  ปฏิบัติบูชา  คือการปฏิบัติตามคำสอนและประพฤติตามธรรมนั้นๆ  ทั้งนี้ขออาราธนาคุณพระรัตนตรัยจงดลบันดาลให้คณะศิษย์ทุกท่านจงประสบแต่ความโชคดี  มีสุข  สมหวังในสิ่งที่หวัง  ด้วยจตุรพิธพรชัยทุกประการเทอญ
การสั่งสมบุญ  คือการเพิ่มพูนบุญ  เชื่อว่าย่อมนำความสุขมาให้ทั้งในโลกนี้และโลกหน้า

เรื่องราวที่เกี่ยวข้อง
  • ค้นหา

เรื่องราวยอดนิยม
thไทย