ภาพจาก : กรมศิลปากร กระทรวงวัฒนธรรม, พระพุทธรูปปางต่าง ๆ (จังหวัดนครปฐม : บริษัท รุ่งศิลป์การพิมพ์ (1977) จำกัด, พ.ศ.๒๕๕๘), หน้า ๘๘
ในอดีตกาล ตั้งแต่พระพุทธเจ้ายังไม่มาตรัสรู้ การเวียนเกิดเวียนตายในสงสารวัฏนั้นยาวไกล ผู้มีจิตปฏิบัติเพื่อหาทางแห่งการหลุดพ้นจากวัฏฏะนั้น ยากที่จะทำให้ตรงต่อหนทางคือพระนิพพานได้ สัตว์โลกย่อมถูกความมืดคืออวิชชาครอบงำจิตใจ ทำให้มองไม่เห็นแสงแห่งพระสัทธรรมเหมือนบุคคลผู้ตาบอดไม่สามารถมองเห็นโลกนี้ได้อย่างไร จิตของผู้ปฏิบัติย่อมล่องลอยไปตามกระแสแห่งนาวาคือภพชาติไม่มีที่สิ้นสุดอย่างนั้น มีแต่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าเท่านั้น ผู้ได้ชื่อว่าเป็นผู้รู้แจ้งทั้งในโลกนี้และโลกหน้า รู้ในภพทั้งสามกับทั้งพระนิพพาน ทรงชี้หนทางแก่ชาวโลกทั้งหลายที่ต่างก็มีกิเลสปิดบังปัญญา มองไม่เห็นความทุกข์ซึ่งรุมเร้าเกาะกินจิตใจมาเนิ่นนานแสนนาน ทรงเป็นผู้ชี้นำหนทางสู่พระนิพพานแก่สรรพสัตว์ทั้งหลาย ด้วยหนทางอันเป็นทางแห่งการดับทุกข์ซึ่งเต็มไปด้วยกิเลสมากมายให้สิ้นไปอย่างสิ้นเชิง
ระหว่างที่พระพุทธเจ้ายังไม่เสด็จอุบัตินั้น มีฤาษีท่านหนึ่งบำเพ็ญเพียรภาวนาเจริญกสิณจนได้ฌานแล้ว ไปบังเกิดในเวหัปผลาพรหม เป็นจตุตถฌานภูมิ มีอายุ ๕๐๐ ปีกัป จุติอยู่ในที่แห่งนั้นแล้วเคลื่อนลงมาเกิดในสุภกิณหพรหมภูมิ ด้วยอำนาจของทุติยฌาน มีอายุได้ ๖๔ กัป ต่อมาเคลื่อนลงมาเกิดเป็นท้าวมหาพรหมในปฐมภูมิ มีอายุอีก ๘ กัป เหตุว่าจุติอยู่ชั้นพรหมมาช้านานแม้ว่าจะเคลื่อนจากที่เดิมลงมาก็ยังคงเสวยทิพย์สมบัติชั้นพรหมเสมอมา จึงเกิดสัสสตทิฏฐิว่าพรหมโลกเป็นของเที่ยง ยั่งยืน ที่ออกจากทุกข์นอกจากพรหมโลกไม่มี มีอยู่วันหนึ่ง พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงประทับอยู่โคนต้นรังใหญ่ในป่าสุภคะ ใกล้เมืองอุกกัฏฐะ ทรงตรวจดูด้วยสัพพัญญุตาฌาน ทรงทราบวาระจิตของพกาพรหม ผู้เคยเกิดเป็นฤาษีบำเพ็ญเพียรกระทั่งได้อุบัติสู่พรหมโลก มีฌานญาณแก่กล้าเป็นท้าวมหาพรหม แต่เป็นผู้มีมิจฉาทิฏฐิเห็นผิดไปว่าพรหมโลกนี้เที่ยง ด้วยถือตนว่าเป็นมหาพรหม เป็นประมุขแห่งพรหมทั้งหลายในชั้นปฐมฌาน เป็นใหญ่ทั้งในจักรวาลนี้และจักรวาลอื่น เป็นผู้ยังสรรพสัตว์ให้เป็นไปในอำนาจ และรู้จักสัตว์ที่เลวและสัตว์ที่ประณีต รู้จักสัตว์ที่มีราคะและสัตว์ที่ไม่มีราคะ รู้จักความเป็นมาและความเป็นไปของเหล่าสรรพสัตว์ทั้งหลาย เพราะถือตนว่าเป็นผู้สร้างโลกเนรมิตโลก เป็นบิดาของเหล่าสัตว์ที่เกิดแล้วและกำลังเกิด มีอานุภาพมาก ขนาดว่าดวงจันทร์และดวงอาทิตย์ย่อมโคจรส่องสว่างอยู่เท่าใด อำนาจของมหาพรหมย่อมเป็นไปในพันจักรวาลเท่านั้น
พระผู้มีพระภาคปรารถนาจะแสดงธรรมวิโมกข์แก่พกาพรหมให้มีความเห็นที่ถูกต้อง จึงแสดงปาฏิหาริย์เสด็จด้วยพุทธลีลาสู่วิมานสถานอันเป็นที่อยู่ของพกาพรหม เสมือนเหยียดแขนออกและคู้เข้าฉะนั้น ครั้งนั้นมหาพรหมแลเห็นพระผู้มีพระภาคเสด็จมาแต่ไกล ให้การต้อนรับด้วยความยินดี กล่าวพรรณนาถึงพรหมโลกเป็นสถานที่แห่งความไม่ตาย ยั่งยืน เที่ยงแท้ มั่นคง เป็นอมตะนิรันดร์ พระพุทธองค์ทรงชี้ให้เห็นกาย ๓ อย่าง คือกายอาภัสสะ กายสุภกิณหะและกายเวหัปผลา ที่มหาพรหมได้เคลื่อนจากพรหมภูมิทั้ง ๓ ภูมิกระทั่งถึงปฐมภูมิ เพราะเหตุว่าอยู่พรหมภูมิมาช้านานจนหลงลืมไป ไม่อาจกำหนดเหตุที่เคลื่อนจากพรหมภูมินั้นๆ จึงทรงเตือนสติให้พกาพรหมระลึกถึงเหตุนั้นๆ ตามลำดับ ทรงกล่าวถึงความที่พระองค์ทรงรู้จักการกำเนิดแห่งดิน น้ำ ลม ไฟ สรรพสัตว์รวมถึงเทวดาและพรหมทุกชั้น ทรงเปรียบให้เห็นถึงการเคลื่อนคล้อยและเสื่อมไปของสรรพสภาวะแต่ละภพแต่ละภูมิ ทรงกล่าวถึงนิพพานอันสัตว์ทั้งหลายถึงไม่ได้ ด้วยความยึดมั่นถือมั่น โดยความที่สิ่งทั้งปวงเป็นสิ่งทั้งปวง แล้วไม่เป็นสิ่งทั้งปวง ไม่ได้มีความยึดถือแล้วในสิ่งทั้งปวง, ไม่ได้มีความยึดถือแล้วแต่สิ่งทั้งปวง, ไม่ได้มีความยึดถือแล้วว่าเป็นสิ่งทั้งปวง, ฝ่ายพกาพรหมเมื่อได้ยินเช่นนั้นแล้ว กล่าวแย้งถึงพระนิพพานว่า นิพพานอันผู้บรรลุพึงรู้แจ้งได้เป็นอนิทัสสนะ คือเห็นไม่ได้ด้วยจักษุวิญญาณ เป็นอนันตะคือไม่มีที่สุด หรือเป็นสิ่งที่หายไปจากความเกิดขึ้นและความเสื่อม หรืออาจมีรัศมีในที่ทั้งปวง อันสัตว์ถึงไม่ได้ ตามความหมายของพกาพรหมที่มีต่อพระนิพพาน ก็คือเป็นสิ่งที่ไม่มีอยู่จริง เพราะเชื่อในญาณของตนว่าไม่มีสรรพสิ่งใดในจักรวาลนี้ที่มหาพรหมจะไม่ล่วงรู้ หรือสรรพสิ่งใดที่หลบหลีกซ่อนเร้นจากทิพย์จักษุญาณแห่งพรหมไปได้ จึงได้กล่าวเสมือนท้าทายต่อพระผู้มีพระภาค หากว่าพระพุทธองค์ทรงรู้เห็นมากกว่าสิ่งที่ตนรู้ ลองมาแสดงอานุภาพแก่กัน ด้วยการหาฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดให้พบ จากนั้นพกาพรหมได้แสดงฤทธิ์หายตัวไปในอากาศ แม้ที่สุดแห่งขอบจักรวาล พระผู้มีพระภาคก็ทรงหาพบทุกครั้งไป ในที่สุดจึงเนรมิตกายเป็นเม็ดทรายซ่อนอยู่ใต้ท้องทะเลลึกท่ามกลางก้นเกษียรสมุทร และนั่นย่อมไม่พ้นจากข่ายคือพระญาณของพระพุทธองค์ได้ ดังนั้นพระผู้มีพระภาคจึงเป็นฝ่ายหายพระองค์ไปบ้าง พกาพรหมพร้อมด้วยเหล่าพรหมทั้งหลายได้ใช้จักษุฌานอันเป็นทิพย์หาพระพุทธองค์ ตลอดทั่วทั้งโลกธาตุหรือที่สุดแม้ทั่วหมื่นจักรวาลก็ตาม ยังไม่อาจมองเห็นพระผู้มีพระภาคได้ ได้ยินแต่เพียงสุรเสียงที่ว่า “เราเห็นภัยในภพ และเห็นภพของสัตว์ผู้แสวงหาที่ปราศจากภพแล้ว ไม่กล่าวยกย่องภพอะไรเลย ทั้งไม่ยังความยินดีให้เกิดขึ้นด้วย” ข้างฝ่ายพกาพรหมกับบรรดาพรหมทั้งหลายยอมจำนนด้วยใจ เพราะว่าไม่ว่าจะทำเช่นใด จะพยายามใช้อิทธิฤทธิ์ฌานญาณมากเพียงใด คงไม่อาจตามหาพระพุทธองค์ให้พบได้เลย
นั่นก็เพราะว่า พระผู้มีพระภาคทรงเนรมิตพระวรกายให้เล็กลงเท่ากับละอองธุลี แล้วเสด็จขึ้นไปประทับเดินจงกรมอยู่ในมุ่นมวยผมบนเศียรของพกาพรหมนั้นเอง ด้วยอานุภาพแห่งพระพุทธเจ้า ทำให้พรหมทั้งหลายมองไม่เห็น แม้จะอยู่ใกล้แค่นั้นและใช้จักษุทิพย์ ก็ไม่อาจมองเห็นพระองค์ได้ ทรงกำหนดให้ได้ยินแต่เสียงอย่างเดียวเท่านั้น พกาพรหมเห็นความอัศจรรย์ในพุทธานุภาพของพระผู้มีพระภาค ถึงความสิ้นมานะทิฏฐิกล่าวสรรเสริญพระพุทธองค์ว่า “พระผู้มีพระภาคเจ้า พระสมณโคดมพระองค์นี้ ผู้ออกผนวชแต่ศากยสกุล เป็นผู้ถอนภพพร้อมทั้งรากแห่งมูลสัตว์ ผู้รื่นรมย์ยินดีในภพเพลิดเพลินในภพได้ทั้งหมดทั้งสิ้น พระผู้เป็นเจ้าทรงเป็นผู้เลิศ ประเสริฐที่สุด”
พระพุทธองค์ทรงมองเห็นอดีตกาลก่อนจะอุบัติของมหาพรหมในครั้งนั้น ก่อนภัทรกัป ขณะที่พกาพรหมจุติลงมาแดนมนุษย์นั้นเห็นโทษในกามารมณ์ทั้งหลายจึงออกบวชถือพรตฤาษี ทำสมาบัติให้เกิด สร้างศาลาอยู่ริมฝั่งแม่น้ำคงคา ด้วยความปรารถนาจะให้น้ำแก่ชนทั้งหลายและสัตว์ผู้ซึ่งอาศัยที่แห่งนั้นเป็นอยู่ ได้บันดาลท่อน้ำให้พลุ่งขึ้นจากแม่น้ำคงคา ไหลไปสู่หนทางกันดารของพ่อค้าเกวียนและโคเทียมเกวียน ๕๐๐ เล่มที่กำลังขาดแคลนน้ำอยู่ อีกคราวหนึ่งเป็นดาบสอาศัยอยู่ชายป่า มีมหาโจรปล้นสะดมชาวบ้าน จับทั้งคนและสัตว์ไปเป็นจำนวนมาก ท่านแปลงกายเป็นพระราชาพร้อมทหารกองใหญ่ ช่วยคนและสัตว์ให้พ้นจากมหาโจรด้วยฤทธิ์ของตน และอีกคราวหนึ่งได้เป็นดาบสอยู่ริมฝั่งแม่น้ำ ชาวเรือพากันทิ้งเศษอาหารลงสู่น่านน้ำทำให้พญานาคโกรธ ขึ้นจากน้ำมาทำลายเรือ เข้าอาสาช่วยมหาชนให้พ้นจากอำนาจของพญานาคตัวดุร้ายนี้ ด้วยการแปลงกายเป็นพญาครุฑต่อสู้กับพญานาคจนกระทั่งมหาชนพ้นภัย มีอยู่ชาติหนึ่งเกิดเป็นฤาษีมีชื่อว่าเกสวะฤาษี พระพุทธองค์เคยเกิดเป็นฤาษีนามว่ากัปปะ ผู้เป็นศิษย์ของเกสวะฤาษี และทรงชื่นชมท่านว่าเป็นผู้มีวัตรดี บำเพ็ญฌานสมาบัติจนกระทั่งอุบัติเข้าสู่พรหมโลก แต่อายุแห่งพรหมนั้นมิได้ยืนยาวนานดั่งที่ท่านเข้าใจ เพราะอายุของพรหมนั้นดำรงอยู่เพียงแสนนิรัพพุทะเท่านั้น มีแต่พระพุทธองค์ที่ย่อมรู้อายุภพภูมิพรหมโลกนี้ เมื่อทรงบรรลุเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงเห็นทางอริยมรรคได้แนะนำสั่งสอนมนุษย์ทั้งหลายให้ข้ามพ้นหนทางอันกันดารคือการเวียนว่ายตายเกิดในภพทั้งสาม ให้เข้าสู่ฝั่งคือพระนิพพานอันเป็นหนทางอมตะ แม้พรหมทั้งหลายต่างก็สรรเสริญแล้วนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคพระองค์นั้น